บิสมิลลาฮ์ เราเริ่มเปิดงานด้วยการอัญเชิญพระมหาคัมภีร์กุรอาน โดยพี่จั่น (สาวิตรี เชวงวรรณ) ค่ะ ทีนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าในงานสังสรรค์ของเราได้มีใครพูดคุยอะไรกันบ้างในงาน?? ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่างานนี้ขออนุญาตสรุปเอาแต่เนื้อ ๆ เฉพาะพี่ ๆ และเพื่อนที่มาร่วมงานเป็นครั้งแรกนะคะ และบางท่านก็ไม่ได้สรุปไว้ เนื่องจากบางทีก็ลืมกด mp3 เพื่อบันทึกถ้อยคำไว้ ต้องงขอ มะอัฟด้วยค่ะ พี่ที่เคยมาเมื่อการจัดงานสังสรรค์ครั้งแรกอย่าเพิ่งน้อยอกน้อยใจนะคะ เพราะงานนี้ส่วนใหญ่เราจะเปิดโอกาสให้คนใหม่ได้พูดค่ะ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
พี่วิริทธิ์พล (สุรพล) ภุมราพันธ์ ถ้าจิ๋มจำไม่ผิดรู้สึกว่าพี่จะมาเป็นคนแรก ๆ เลยทีเดียว (แต่ไม่ทราบว่ามาก่อนพี่โตหรือเปล่านะคะ) พี่วิริทธ์พลเป็นคนสนุกสนานรื่นเริง พี่เค้าดีใจตั้งแต่ที่เจอพวกเราในงานแต่งงานพี่วรพลแล้ว พอรู้ว่าเราสังสรรค์กันมาครั้งหนึ่งแล้ว พี่วิริทธิ์พลก็ยิ่งอยากมาร่วมงานกับเราในครั้งที่ 2 คอยเวลาว่าเมื่อไรพวกเราจะจัดงานอีก สำหรับวันนี้ประเด็นที่พี่กล่าวกับเรา และย้ำหลายครั้ง ก็คือ ดีใจที่ได้มีโอกาสมาเจอพวกเราอีก ซึ่งโดยปกติแล้วพี่ก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสพบใคร นอกจากตระเวนเยี่ยมรุ่นพี่ ๆ เช่น พี่ปรีชา พี่โต บางครั้งถ้ามีเวลาก็จะแวะมาเยี่ยมพี่โตที่ปั๊มพ์ดาวโต ของพี่โตเอง ตามโอกาสที่จะอำนวยให้ ล่าสุดได้เจอวรพลตอนที่เค้าทำงานด้าน Security ก็ดีใจ เราจึงได้ติดต่อกันมาเรื่อย จนกระทั่งเค้าได้แต่งงาน พี่่ก็ดีใจที่ได้มาร่วมงาน แล้วก็ได้เจอพวกเราที่เคยทำงานร่วมกัน บางครั้งทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างก็เป็นธรรมดาของการทำงานด้วยกัน แต่แล้วเราก็ยังคงเป็นเพื่อนกันอยู่ ซึ่งมิตรภาพนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ถึงแม้กาลเวลาจะผ่านพ้นไปก็ตาม (ประทับใจค่ะ คำพูดของพี่ที่ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ท้ายที่สุดแล้วเราก็เป็นเพื่อนกันเสมอ)
พี่วิริทธิ์พล (สุรพล) ภุมราพันธ์ ถ้าจิ๋มจำไม่ผิดรู้สึกว่าพี่จะมาเป็นคนแรก ๆ เลยทีเดียว (แต่ไม่ทราบว่ามาก่อนพี่โตหรือเปล่านะคะ) พี่วิริทธ์พลเป็นคนสนุกสนานรื่นเริง พี่เค้าดีใจตั้งแต่ที่เจอพวกเราในงานแต่งงานพี่วรพลแล้ว พอรู้ว่าเราสังสรรค์กันมาครั้งหนึ่งแล้ว พี่วิริทธิ์พลก็ยิ่งอยากมาร่วมงานกับเราในครั้งที่ 2 คอยเวลาว่าเมื่อไรพวกเราจะจัดงานอีก สำหรับวันนี้ประเด็นที่พี่กล่าวกับเรา และย้ำหลายครั้ง ก็คือ ดีใจที่ได้มีโอกาสมาเจอพวกเราอีก ซึ่งโดยปกติแล้วพี่ก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสพบใคร นอกจากตระเวนเยี่ยมรุ่นพี่ ๆ เช่น พี่ปรีชา พี่โต บางครั้งถ้ามีเวลาก็จะแวะมาเยี่ยมพี่โตที่ปั๊มพ์ดาวโต ของพี่โตเอง ตามโอกาสที่จะอำนวยให้ ล่าสุดได้เจอวรพลตอนที่เค้าทำงานด้าน Security ก็ดีใจ เราจึงได้ติดต่อกันมาเรื่อย จนกระทั่งเค้าได้แต่งงาน พี่่ก็ดีใจที่ได้มาร่วมงาน แล้วก็ได้เจอพวกเราที่เคยทำงานร่วมกัน บางครั้งทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างก็เป็นธรรมดาของการทำงานด้วยกัน แต่แล้วเราก็ยังคงเป็นเพื่อนกันอยู่ ซึ่งมิตรภาพนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ถึงแม้กาลเวลาจะผ่านพ้นไปก็ตาม (ประทับใจค่ะ คำพูดของพี่ที่ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ท้ายที่สุดแล้วเราก็เป็นเพื่อนกันเสมอ)
ที่นี้พอมาวันที่ 2 ของเดือนรอมฎอน หลังจากไปส่งลูกที่มหาวิทยาลัยแล้ว พี่มีอาการปวดมาก แต่พอกลับมาถึงบ้านก็คิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็เลยเอายาหม่องทาใหญ่เลย ทาบริเวณที่ปวด ทาจนหมดกระปุก (คิดดูซิ *.*) พอคลายก็ทาใหม่อีก ทำอย่างนี้แหละแต่ก็ไม่ยอมหายปวดซะที จนกระทั่งถึงที่สุดจะทน คราวนี้ก็เลยต้องถูกนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด พี่ก็ยังคิดว่าตนเองไม่เป็นอะไรมาก เดี๋ยวคุณหมดฉีดยาแก้ปวดให้เข็มเดียวก็กลับบ้านได้ ปรากฏว่าต้องฉีดเข็มสอง เสร็จสรรพคุณหมอจึงได้วิเคราะห์โรคว่า พี่เป็นนิ่ว คุณหมอให้เลือกว่า จะทนปวดต่อไป หรือว่าจะผ่า ถ้าจะทนก็จะให้ยาไปทาน แต่ก็จะมีอาการปวดอีกไม่หายขาด ถ้าอยากจะผ่าก็มีค่ารักษาประมาณ 4-5 หมื่นบาท พอถึงตอนนั้นพี่ไม่รู้สึกตัวแล้ว แต่แฟนพี่มีประสบการณ์ที่ญาติเคยผ่ามาก่อน บอกว่าถ้าผ่าตัดค่าใช้จ่ายสูง แต่ถ้าจะใช้วิธีสลายนิ่ว ก็มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า แล้วก็ใช้เวลาทำแค่สองชั่วโมงครึ่งเท่านั้น แฟนก็เลยตัดสินใจให้พี่สลายนิ่วแทน พี่ต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณครึ่งเดือนถึงกลับบ้านได้”
อุทาหรณ์สอนใจก็มีด้วยประการฉะนี้ จึงเป็นข้อคิดให้แก่เพื่อน ๆ ว่า เมื่อเจ็บป่วยก็อย่าไปคาดเดาเอาเอง และปล่อยปละจนกระทั่งโรคลุกลามไปมากมาย ถ้าเรามอบความไว้วางใจให้คุณหมอเป็นผู้ตรวจรักษาและวิเคราะห์โรคให้ เราก็จะได้รับรักษาตัวแต่เนิ่น ๆ ไม่ต้องเจ็บป่วยมากกว่านี้
ใช่แล้วค่ะ เมื่ออตะวักกัล แล้วก็ต้องดูแลตัวเองอย่างดีที่สุดด้วยใช่ไหมคะ แล้วจึงมอบหมายต่อพระองค์ ร่างกายของเราแท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ของเรา แต่เป็นอะมานะฮ์หนึ่งที่พระผู้เป็นเจ้าฝากไว้ให้เราดูแลรักษา และอย่าให้เค้าต้องจากเราไปก่อนเวลาอันสมควร
ชีวิตส่วนตัว ตอนนี้พี่มีบุตร 2 คน และได้ย้ายบ้านแล้ว มาพักอยู่ที่พัฒนาการแถว ๆ บ้านนาวิน นาคนาวา แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสเจอกัน
งานทางด้านสังคมอิสลาม พี่เคยคิดที่จะรวมกลุ่มมุสลิมในกรมอาชีวศึกษา แล้วก็อยากชวนพี่แอ๊ว มุขตารี (ภรรยาพี่หนุ่ย) มาร่วมงานด้วย เพราะตอนนี้เค้ากำลังจะขอ Early Retired ในส่วนตัวพี่นั้นพี่ก็พยายามจะขอสถานที่นมาซให้แก่นักเรียน และเมื่อเดือนรอมฎอนที่ผ่านมาพี่ก็ได้จัดงานเลี้ยงละศีลอดขึ้น โดยออกทุนของตัวเอง แล้วก็เชิญผู้ที่สนใจมาร่วมทำบุญด้วยกัน (เพราะเราของบประมาณจากทางวิทยาลัยไม่ได้) ปรากฏว่ามีเด็ก ๆ มาร่วมงานละศีลอดกันถึง 80 คน อัลฮัมดุลิลลาฮ์ ทางวิทยาลัยจึงได้เห็นดีเห็นงามด้วย และในวันนั้นได้เชิญ สก. มาร่วมงานด้วย ซึ่งท่าน สก. ก็เห็นดีด้วยเลยบอกว่าจะหางบประมาณให้ไปจัดสัมมนาสำหรับเด็กมุสลิม จุดนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี พี่จึงตั้งใจว่าปีหน้ารับน้องใหม่ พี่จะจัดโต๊ะลงทะเบียนสำหรับรับเด็กมุสลิม และปีหน้าที่จะถึงนี้พี่จึงได้ทำแผนยุทธศาสตร์ของวิทยาลัยแล้ว โดยขอตั้งงบประมาณไว้จัดสัมมนา “โครงการคุณธรรมจริยธรรม” เพื่อพาเด็กมุสลิมไปทำงานกิจกรรมร่วมกัน” (อินชาอัลลอฮ์ ขอให้การงานของพี่สัมฤทธิ์ผล นะคะ พวกเราขอเอาใจช่วยวิงวอนให้ค่ะ)
พี่ลมูลจึงได้กล่าวทิ้งท้ายเป็นข้อเตือนใจแก่พวกเราว่า การงานทุกอย่างถ้าเราเหนียตดี อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงมองเห็น แล้วพระองค์ก็จะตอบแทนสิ่งที่ดีงามให้แก่เราเป็นรางวัล
พี่สุพจน์ ปราชญากุล เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ชมท. ของเทคนิคกรุงเทพฯ (พี่นุช กล่าวกับพวกเราว่า กว่าจะตามตัวอาจารย์สุพจน์ฯ มาได้ ก็ต้องไปขอรูปจากน้อง อุสนา (ศิษย์ปัจจุบัน) มาดู พอดูรูปปั๊บก็คนนี้ใช่เลย ก็ต้องให้น้องเค้าไปหาเบอร์โทรมาให้ จึงได้ตามตัวพี่สุพจน์ มาร่วมงานกับเราได้ค่ะ อัลฮัมดุลิลลาฮ์)
พี่สุพจน์ ปราชญากุล เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ชมท. ของเทคนิคกรุงเทพฯ (พี่นุช กล่าวกับพวกเราว่า กว่าจะตามตัวอาจารย์สุพจน์ฯ มาได้ ก็ต้องไปขอรูปจากน้อง อุสนา (ศิษย์ปัจจุบัน) มาดู พอดูรูปปั๊บก็คนนี้ใช่เลย ก็ต้องให้น้องเค้าไปหาเบอร์โทรมาให้ จึงได้ตามตัวพี่สุพจน์ มาร่วมงานกับเราได้ค่ะ อัลฮัมดุลิลลาฮ์)
พี่สุพจน์กล่าวว่า “ดีใจที่ได้พบพวกเราอีก หลังจากไม่ได้เจอกันมากว่า 30 ปี ชีวิตส่วนตัวพี่ ก็คือ พี่จบ เทคนิคฯ ในปี 2516 พอจบก็ไปต่อ ป.ตรี 2 ปี และต่อ ป.โท อีก 2 ปี แล้วก็ก่อนหน้านี้พี่จบ อวท. ที่บางมด เมื่อปี 2512 ซึ่งในสมัยนั้นพี่ต้องเดินมาเรียนตั้งแต่ปากซอยกิโล 9 มาจนถึงวิทยาลัย พอพี่แต่งงานก็ย้ายบ้านมาที่ราชดำเนิน แต่ต้องมาทำงานที่สมุทรปราการ (ต้องเดินทางไกลมาก ออกจากบ้านหกโมง สิบเอ็ดโมงยังไม่ถึงที่ทำงาน) จึงย้ายที่ทำงานมาอยู่สารพัดช่าง 1 ปี แล้วย้ายมาอยู่ที่เทคนิคกรุงเทพ ปี 2535 จนถึงปัจจุบัน พี่สอนอยู่ที่คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม และเป็นที่ปรึกษาของ ชมท.ด้วย แต่พี่ไม่ได้ไปร่วมกิจกรรมค่ายกับน้อง ๆ ด้วย เพราะเราอายุมากแล้ว ค่ายสมัยนั้นกับเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนกัน ปัจจุบันค่ายเดี๋ยวนี้ต้องมีอาจารย์ไปประเมินผลด้วย จึงทำให้มีอยู่ครั้งหนึ่งพี่ต้องเดินทางล่วงหน้าไปเยี่ยมค่าย ชมท. ที่หนองคาย พบว่ามีกระโจมอยู่รวมกันรวมมุสลิมะฮ์ด้วย พี่ก็เลยต้องเข้าไปแก้ปัญหาดังกล่าว โดยจัดให้มุสลิมะฮ์ไปนอนในเมือง โดยส่วนตัวพี่คิดว่าการทำงานของ ชมท. ปัจจุบัน เค้าก็มีวิธีการคิดของเค้าไม่เหมือนกับสมัยเรา ซึ่งยุคสมัยกันมันเปลี่ยนไป พี่จึงคอยกำกับดูแลการทำงานของน้อง ๆ ชมท. อยู่ห่าง ๆ”
ระหว่างนี้พักรับประทานอาหาร พร้อมกับสนทนากับไปด้วย จึงจับประเด็นไม่ได้ แล้วก็ผลัดเปลี่ยนมาให้รุ่นน้องได้อภิปรายบ้าง
(ขอเรียนเชิญติดตามตอนต่อไป ภาค 3 นะคะ คลิกที่ลิงค์นี้ได้เลย ค่ะ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น